เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่ทำการทีม “ทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต” นำโดยนายพิสุทธิ์ สุทธิจินดาวงศ์ หัวหน้าทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต ว่าที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลนครภูเก็ต พร้อมด้วย สมาชิกทีมคนหนุ่ม และว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลนครภูเก็ต ทั้ง 4 เขต เลือกตั้ง ได้แถลงเปิดตัวว่าที่ผู้ลงสมัครนายกและสมาชิกสภาเทศบาลนครภูเก็ต ซึ่งมีกำหนดเปิดรับสมัครในวันที่ 31 มีนาคม 2568 – 4 เมษายน 2568 โดยมีผู้สนับสนุนและสื่อมวลชนเข้าร่วม
สำหรับว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลนครภูเก็ต เขตเลือกตั้งที่ 1 นางสาวปิ่นจิดา (บีม) ดิลกแพทย์, นางสาวพรยมล (ดาว) ขรรค์วิไลกุล, นางสาวนันทภัค (ซี้) หล่อโลหการ, นายศักดรินทร์ (โอม) เกียรติทวี, นายกิตติกร (กานต์) ตันติปุษปรรฆ์ และ นายศราวุธ (อ๊อด) นุ่นสังข์
เขตเลือกตั้งที่ 2 นางสาวอำไพวรรณ (แจง) สงวนงาม, นายวราพงศ์ (กานต์) ฉางแก้ว, นายเอกพล (ไมโล) ธงชัย, นายกฤตภัค(เจมส์) แสวงหา, นายณัฐภัทร (นัท) หลี่บุตร และนายพีรยุทธ (เอ็ม) เกษสถิต
เขตเลือกตั้งที่ 3 นางสาวกนกวรรณ (หมิง) กตัญชลีกุล, นางสาวณัฏฐา (บุ๋ม) อรุณรัตน์, นายอนันตเทพ (เทพ) นาวี, นายกิตติพงศ์ (เกม) แซ่ตัน, นายไชยพัทธ์ (ไนท์) จิรอมรรัตน์ และนายนัฐวุฒิ (ฟิล์ม) เขมธนามาศ
เขตเลือกตั้งที่ 4 นางสาวสาริศา (โบ) บำรุงเกษมไชย, นายจำเริญ (แมน) ช่วยแข็ง, นายเฉลิม (เหลิม) ชาญกล, นายสังเกตุ(จารึก) วงค์บา, นายภานุพงศ์ (อ๊อฟ) มานะจิตต์ และนายพลวรุตน์ (จุ๊บ) นาคะกิจวิบูลย์
นายพิสุทธิ์ กล่าวว่า ทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต พัฒนาการมาจากกลุ่มคนหนุ่ม ซึ่งดำเนินกิจกรรมการเมืองท้องถิ่นมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 จนถึงปัจจุบัน รวมเวลา 50 ปีแล้ว โดยมีรากเหง้าแนวคิดมาจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ผู้ค้ารายย่อยในตลาดสดสาธารณะ สมาชิกชมรมตลาดสดและชมรมชาวบางเหนียว มุ่งประสงค์ให้การบริการสาธารณะ การจัดสวัสดิการสังคม การใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีประชาชนของเทศบาลกระจายสู่ประชาชนคนธรรมดา คนด้อยโอกาส มากกว่าจะให้บริการกระจุกตัวเฉพาะแค่กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
“กลุ่มคนหนุ่มจึงถือเป็นสถาบันทางการเมืองของท้องถิ่นที่มีอายุยาวนานมากที่สุดในประเทศนี้ อีกทั้งตลอดระยะเวลากึ่งศตวรรษบนเส้นทางนี้ได้มีการเปลี่ยนเลือดใหม่ มีคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เข้ามาทดแทนคนรุ่นเก่าอยู่ตลอดเวลา ในปีนี้ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มและนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา หัวหน้ากลุ่มคนหนุ่มคนล่าสุด ตลอดจนสมาชิกกลุ่ม ได้มีฉันทามติให้ตนดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต
เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและนำทีมคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการพัฒนาท้องถิ่นลงสมัครนับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลฯ แม้ว่าการรับไม้ต่อในครั้งนี้ จะเป็นภาระที่หนัก แต่ตนและเพื่อนสมาชิกพร้อมแบกรับภาระนี้ด้วยความยินดี และจักใช้ความรู้ความสามารถพัฒนานครภูเก็ตที่เป็นบ้านเกิดให้มีความเจริญก้าวหน้า ได้รับใช้พี่น้องชาวนครภูเก็ตให้ได้รับการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพอย่างถ้วนหน้า”
ในส่วนของนโยบายที่จะใช้ในการหาเสียงนั้น นายพิสุทธิ์ กล่าวว่า จะไม่เป็น “นโยบายขายฝัน” แต่สามารถทำได้จริงตามที่หาเสียงไว้ โดยยึดมั่นว่า นโยบายที่ใช้หาเสียงถือเป็นสัญญาประชาคม เป็นคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนซึ่งต้องทำได้ และแล้วเสร็จภายในกรอบเวลา 4 ปีตามวาระการดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของถนนที่เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ในปัจจุบัน
และจะต้องเรียบร้อยภายใน 4 ปีนี้ การกลับมาเปิดสอนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบางเหนียว การจัดอีเว้นท์ใหญ่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาและกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง ด้วยงานของเทศบาลฯ เป็นงานที่ต้องดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ฉะนั้นนโยบายที่นำมาเสนอนั้นจะต้องทำได้จริงและจบภายใน 4 ปี หากไม่จบก็จะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่าเพราะเหตุใด คำไหนคำนั้น
“จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของสมาชิกทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องประชาชน พบว่า ชาวนครภูเก็ตไม่ต้องการนโยบายขายฝัน แต่ต้องการนโยบายที่ประชาชนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะของเทศบาลอย่างเสมอภาคถ้วนหน้า ทีมคนหนุ่มนครภูเก็ตจึงกำหนดนโยบายด้านคุณภาพชีวิตเป็นนโยบายหลักในการบริหารเทศบาลภายใต้สโลแกน “ทั้งชีวิต…เราดูแล” ไม่ว่ามิติสาธารณสุข
ด้านสุขภาพที่จะดูแลทารกตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนถึงผู้สูงอายุบั้นปลายชีวิต มิติด้านการศึกษาตั้งแต่การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนวัยเรียนให้รองรับรับเด็กได้มากขึ้น การพัฒนาหลักสูตรและนวัตกรรมการเรียนการสอนสำหรับการศึกษาปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังมีนโยบายในมิติของสาธารณูปโภคสาธารณูปการอีกจำนวนมากที่จะทะยอยนำเสนอต่อประชาชนเป็นระยะ ๆ
นายพิสุทธิ์ กล่าวย้ำในท้ายว่า นโยบายของทีมคนหนุ่มนครภูเก็ต อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะเป็นนโยบายที่กลั่นกรองมาจาก 1.การเข้าถึงพื้นที่จริง 2. การเข้าถึงสภาพปัญหาที่แท้จริง และ 3. เป็นความต้องการของประชาชนตัวจริง ฉะนั้นจึงเชื่อมั่นได้ว่านโยบายของเราทำได้จริงตามคติพจน์ของทีมที่ว่า “คำไหน…คำนั้น”.